PARAMITA
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ศักดิ์ของกฎหมาย
เมื่อกล่าวถึง ศักดิ์ของกฎหมาย Hierachy of law หลายคนอาจไท่เข้าใจว่า ศักดิ์ของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร
มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่อกฎหมาย โดยทั่วไปในทางวิชาการ มีผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ความหมาย
ศักดิ์ของกฎหมาย ไว้ว่า ลำดับชั้นของกฎหมาย หรืออีกนัยหนี่ง คือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน
ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายแต่ละฉบับนั้นพิจารณาได้จากองค์กรที่มีอำนาจในการ
ออกกฎหมาย หมายความว่า กฎหมายแต่ละฉบับจะมีลำดับชั้นของกฎหมายในลำดับใด ให้พิจรณาจากองค์กรที่ออกกฎหมายฉบับนั้น ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติลูงลุดของประเทศคือ
รํฐสภา แต่บางกรณีอาจมีองค์กรอื่นเป็นผู้จัดให้มีกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญได้
เช่น คณะปฏิวัติออกธรรมนูญการปกครอง
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
เป็นต้น
การจัดศักดิ์ของกฎหมาย
มีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่างๆทางกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย เช่น หากกฎหมายฉบับใดมีลำดับชั้นของกฎหมายสูงกว่า กฎหมายฉบับอื่นที่มีลำดับชั้นต่ำกว่าจะมีเนื้อหาของกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่มีลำดับชั้นสูงกว่านั้นไม่ได้ หากพิสูจน์ได้ว่ามีความขัดหรือแย้งดังกล่าว ถือว่า กฎหมายลำดับชั้นต่ำกว่าจะถูกยกเลิกไป
1. เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมาย
เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย
กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกโดยรํฐสภา และเป็นการใช้อำนาจในการออกกฎหมายร่วมกันของสองสภา คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด ในขณะที่กฎหมายที่มีลำดับชั้นรองลงมา คือ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด จะถูกพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงจะผ่านไปยังวุฒิสภา
ถือเป็นการแยกกันในการใช้อำนาจออกกฎหมาย(ordinary laws are voted by the two Chambers
deliberating separately)
เมื่อกฎหมายแต่ละฉบับถูกบัญญัติโดยองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมายแตกต่างกัน ผลก็คือทำให้กฎหมายแต่ละฉบับมีศักดิ์ของฎหมายหรือลำดับชั้นของกฎหมายไม่เท่ากัน โดยลำดับชั้นของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกันนี้หมายถึงข้อบังคับของแต่ละฉบับจะสูงต่ำแตกต่างกันไป เช่น รัฐธรรมนูญซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและเป็นกฎหมายแม่บท กฎหมายฉบับอื่นที่มีลำดับชั้นต่ำกว่า เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด
2. ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย
ในปัจจุบันกฎหมายของประเทศไทยมีทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายจารีตประเพณีและหลักกฎหมายทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นได้ว่ากฎหมายของประเทศไทยโดยส่วนใหญ่จะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งกฎหมายลายลักษณ์อักษรแต่ละฉบับจะมีศักดิ์ของกฎหมายหรือลำดับชั้นของกฎหมายที่แตกต่างกัน กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดและเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายทั้งหมด พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดเป็นกฎหมายลูกของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ส่วนพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง กฎหมายองค์กรส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติจังหวัด ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเหล่านี้เป็นกฎหมายที่อาศัยพระราชบัญญัติ พระราชกำหนดในการออกเป็นกฎหมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ การจัดลำดับศักดิ์ของกฎหมายจึงเรียงตางความเหมาะสมได้ดังต่อไปนี้
รัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตลอดจนสิทธิต่างๆของประชาชนทั้งประเทศนอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังเป็นกฎหมาย
แม่บทของกฎหมายทุกฉบับ
ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญมากกว่ากฎหมายฉบับใด
กฎหมายฉบับอื่นจะบัญญัติโดยมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายฉบับนั้นจะถือว่าไม่มีผลบังคับใช้
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
หมายถึงกฎหมายที่อธิบายขยายความเพื่อประกอบ เนื้อความในรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์ละเอียดชัดเจนตามที่รัฐธรรมนูญมอบหมายและกำหนดโดยถือว่ากฎหมายประเภทนี้มีลักษณะและหลักเกณฑ์
พิเศษแตกต่างจากกฎหมายธรรมดา แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญไทยมิได้กำหนดศักดิ์ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญให้สูงกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป
ดังนั้น
กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจึงมีศักดิ์ในลำดับชั้นเดียวกันกับพระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมายที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบัน
(ซึ่งถือว่ามีศักดิ์เท่ากับพระราชบัญญัติด้วยเช่นกัน)พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายลำดับชั้นรองมาจากรัฐธรรมนูญเพราะพระราชบัญญัติออกมาเป็นกฎหมายโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญโดยตรงซึ่งองค์กรที่ทำหน้าที่ในการตราพระราชบัญญัติ คือ รัฐสภา ดังนั้นรัฐสภาจะตราพระราชบัญญติที่มีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
พระราชกำหนด
เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจในการบัญญัติให้กับฝ่ายบริหารคือ คณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการออกพระราชกำหนดเพื่อใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติได้ในกรณีพิเศษตามที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ไข สถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องการการดำเนินการที่จำเป็นและเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม โดยหลังจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดนั้นแล้ว จะต้องนะพระราชกำหนดมาให้รัฐสภาพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบ ถ้ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ พระราชกำหนดก็จะกลายเป็นกฎหมายถาวร แต่หากรัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบ พระราชกำหนดก็จะสิ้นผลไป ประเด็นที่สำคัญคือ การดำเนินการใดๆก่อนที่พระราชกำหนดจะสิ้นผลไป ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย แม้ภายหลังจะปรากฎว่า พระราชกำหนดสิ้นผลไป ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีจะใช้อำนาจในการออกพระราชกำหนดควรต้องคำนึงถึงความชอบธรรมและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
พระราชกฤษฎีกา
เมื่อพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่ออกมาโดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายแม่บท คือ รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดแล้ว พระราชกฤษฎีกาจะมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นที่ออกโดยอาศัยอำนาจของรัฐธรรมนูญดังเช่น พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดไม่ได้ รวมทั้งจะบัญญัติเนื้อหาทเกินขอบเขตของกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้ไม่ได้ด้วย
กฎกระทรวง
เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารและไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพระราชกฤษฎีกาแต่กฎกระทรวงมีศักดิ์ของกฎหมายที่ต่ำกว่าพระราชกฤษฎีกา ทั้งนี้เพราะกฎกระทรวงนั้นผู้ออกกฎหมาย คือ รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายแม่บทเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บท ส่วนพระราชกฤษฎีกาผู้ตรากฎหมายคือพระมหากษัตริย์
การดำเนินการออกกฎกระทรวงนั้น รัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจะบัญญัติกฎกระทรวงออกมาโดยมีพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง ให้อำนาจไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐมนตรีผู้เสนอกฎกระทรวงจำต้องเป็นรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดซึ่งได้ให้อำนาจไว้
เมื่อพระราชกฤษฎีกากับกฎกระทรวงมีความใกล้เคียงกันมาก ข้อที่พิจารณาให้เ็นถึงความแตกต่างกันว่า ควรจะออกกฎหมายในรูปพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาของกฎหมายที่ต้องการบัญญัตินั้นมีความสำคัญเพียงใดซึ่งหากมีความสำคัญเป็นอย่างมากจะออกมาในรูปของพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่า ก็ออกมาในรูปของกฎกระทรวง
กฎหมายที่องค์กรส่วนท้องถิ่นบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่ให้องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในทางนิติบัญญัติ คือ มีอำนาจในการกำหนดกฎหมายได้ด้วยตนเองจึงถือว่าเป็นการกระจายอำนาจในการบัญญัติกฎหมายไปสู่องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น
โดยทั่วไปองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายต่างๆได้ดังนี้คือ
1. ข้อบังคับตำบล
2. เทศบัญญัติ
3. ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
4. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
5. ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
อำนาจในการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการตรากฎหมายเพื่อใช้บังคับในท้องถิ่นนั้น จะเป็นอำนาจที่ได้รับมาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆเช่น พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ .2537ให้อำนาจตราข้อบังคับตำบลได้ ดังนั้น โดยทั่วไปกฎหมายโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ
3. ผลของการจัดลำดับศักดิ์
่1. การออกกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าจะออกได้โดยอาศัยอำนาจจากกฏหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายสูงกว่าหรือกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายสูงกว่าได้ให้อำนาจไว้ เช่น รัฐธรรมนูญให้อำนาจรัฐสภาในการออกพระราชบัญญัติ ซึ่งก็เท่ากับว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บท ส่วนพระราชบัญญัติเป็นกฎหมายลูกบท
2. กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าจะมีเนื้อหาที่เกินขอบเขตอำนาจที่กฎหมายที่มีศักดิ์กฎหมายสูงกว่าให้ไว้ไม่ได้ มิฉะนั้น จะไม่มีผลบังคับใช้
3. หาเนื้อหาของกฎหมายมีการขัดหรือแย้งกัน จะต้องใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่ามาใช้บังคับ ไม่ว่ากฎหมายทีมีศักดิ์สูงกว่าจะออกเป็นกฎหมายก่อนหรือหลังกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)